We belong together 11 ปีแห่งความชื่นมื่น
14 สัปดาห์ ที่พิสูจน์ว่า นี่คือ diva ที่ทุกคนต้องซูฮก
ยังจำตอนที่เพลงนี้ขึ้นอันดับ 1 บิลบอร์ดชาร์ตได้ไหม สำหรับตัวดิชั้นเองเคยตั้งแง่เอาไว้ในใจว่า เพลงนี้มันไม่ได้เพราะอะไรมากมาย ด้วยความที่เคยติด 0 ภาษาไทย จึงต้องเรียนร้อยแก้วร้อยกรองใหม่ เลยต้องเป็นคนจำจดว่าภาษาที่สวยๆ ควรจะมีการสัมผัสนอกสัมผัสใน ภาษาต่างประเทศก็เช่นกัน (ตรรกะของตัวเองล้วน ๆ) ซึ่งภาษาในเพลงนี้ดิชั้นได้ติดลบในใจไว้ เพราะมันมีการปรับแต่งภาษาสมัยใหม่นำเข้ามาใส่ในเพลง บางท่อนจึงไม่รื่นหูสักเท่าไร ทีแรกยังคิดในใจว่าเพลงมันไม่ค่อยมีอะไร มันไม่ค่อยว้าว แบบเพลงเปิดตัวอย่าง It's like that ที่มารายห์ทำให้เราปลื้มปริ่มมากกว่า (แต่เสียดายที่ไปไกลได้แค่อันดับ 16 บนชาร์ต) แต่ใครจะคิดว่าเพลงนี้มันจะพีคได้ขนาดนั้น พอเพลงขึ้นอันดับหนึ่ง ดิชั้นก็ดึงสติกลับมาฟังเพลงนี้ใหม่ เห้ยยยยยยยย มันเพราะเหวยแก!
ประการที่หนึ่ง มันคือดนตรีแนวใหม่ที่มารายห์ได้หยิบจับมาเล่าผ่านบทเพลงให้เราฟัง ภาคดนตรี อาร์แอนด์บี บัลลาด มิดเทมโป แต่นิตยสาร Rolling Stones นิยามเพลงนี้ว่า Soulful เป็นเพลงสุดท้ายที่มาเติมเต็มให้อัลบั้ม กลายเป็นอัลบั้มฮิตประจำปี 2005 เหตุเพราะเป็นเพลงสุดท้ายที่มารายห์ถูกเจ้านายอย่าง L.A. Reid บัญชาการให้ไปผลิตเพลงร่วมกับ JD เพื่อทำให้ที่เธอคิดว่าเพลงที่ทำมานั้น ยังสามารถทำได้อีก เพื่อให้เป็นอัลบั้มสมบูรณ์ที่สุด มีเพลงไม้ตายไว้ขายได้ ซึ่งใครจะไปคิดว่าเพลงที่มันทำขึ้นมาแบบปัจจุบันทันด่วนแบบนี้จะกลายเป็นเพลงฮิตติดชาร์ตได้ขนาดนั้น (มารายห์ใช้การอัดเสียงผ่านในเทคเดียวขณะที่ L.A. Reid เข้ามาชมในกระบวนการบันทึกเสียง)
ประการที่สอง ใครจะคิดว่า อีป้าที่ดูวี้ดว้ายดัดจริตในมิวสิควีดิโอ Loverboy ป้าที่เคยถอดเสื้อกลางรายการทีวีดังอย่าง MTV หรือป้าที่เคยคิดสั้นฆ่าตัวตายมาแล้วนั้นจะกลับมากล้าบ้าบิ่น ทำเพลงบัลลาดหวานหยดย้อย แต่กลับเพิ่ม texture ให้เพลงดูแพงขึ้นไปอีกด้วยการนำเพลงเก่ามาแซมเปิ้ลในเพลงบัลลาด (ซึ่งก่อนหน้านั้นมารายห์เอาเพลงเก่ายุค 70-80 มาแซมเปิ้ลแต่เพลงเร็ว) ทั้งเพลงจาก Bobby Womack และเพลงจากวงเก่าของอดีตโปรดิวเซอร์มือทองอย่าง Babyface อีกด้วย ซึ่งมารายห์ได้ผูกเรื่องให้สองเพลงนี้มันเข้ากันดี ซึ่งมันเป็นอะไรที่เปรี้ยวนะ และทั้งสองเพลงนี้ก็ยังถูกมานำขยายให้เรารู้จักมากขึ้นในเวอร์ชั่นรีมิกซ์อีกด้วย รวมถึงเธอยังได้แต่งร่วมกับ Johntá Austin ซึ่งช่วยเพิ่มอรรถรสให้กับเพลงมากยิ่งขึ้น
ประการสุดท้าย มันคือความเป็นมารายห์ ที่เธอสมควรจะได้รับ เพราะนี่คือเพลงที่เรียกได้ว่าเป็น big impact สำหรับการกลับมาก้าวสู่เบอร์หนึ่งของมารายห์อีกครั้ง จำฉากในหนัง Glitter ตอนที่เพลงของบิลลี่ แฟรงค์ ขึ้นอันดับหนึ่ง แล้วทุกคนต่างมาฉลองให้นางได้กันใช่ไหม ฉากตอนนั้นมันก็เป็นจริงขึ้นมาในชีวิตจริงของมารายห์อีกครั้ง ทุกคนในค่ายเพลงต่างมาร่วมเปิดแชมเปญฉลองยินดีให้กับเพลงนี้ แฟนเพลงก็กรี้ดกร้าดกันใหญ่ หลังจากที่นางได้กลับมายิ่งใหญ่ และเอาชนะ TKO คู่แข่งทุกเบอร์ในตอนนั้นได้ หลังจากที่ It's like that เคยพ่ายไปหนึ่งยกก่อนแล้ว ทั้งหลายทั้งปวงนำมาสู่การขึ้นอันดับหนึ่งของตัวอัลบั้ม พร้อมกับ We belong together ขึ้นอันดับหนึ่งเช่นกัน ถึงแม้จะมีศิลปินอีกหลายคนจะทำได้ แต่ตอนนั้นเป็นข่าวครึกโครมนะจ๊ะ (เพราะยุคนั้นยอด digital เพิ่งจะเข้ามาไม่นาน และยังไม่พีคเท่าสมัยนี้) ทว่าเป็นเพลงอันดับหนึ่ง 14 สัปดาห์บน Hot 100 โดยไม่ติดต่อกัน โดยต้องหลีกทางให้น้องนาง Carrie Underwood แทรกไปหนึ่งสัปดาห์ (สำหรับ UK Chart ได้อันดับที่ 2 เพราะติดเพลงของ Tupac) อีกทั้งมารายห์ยังมีเพลงอันดับหนึ่งและอันดับสองจ่อคิวกันก่อนที่ เทเลอร์ สวิฟท์ และ จัสติน บีเบอร์ จะเดินซ้ำรอยใน 10 ปีให้หลังด้วยนะค่ะ แต่เสียดายที่ เพลงอันดับสองไม่สามารถขึ้นที่หนึ่งได้ เพราะติดเพลงตัวเองและตา Yeezy แท้ๆ กระแสเม้าท์ก็มี บ้างก็ว่านางโหมซื้อยอดแอร์เพลย์และปล่อยให้ดาวน์โหลดฟรีๆ เพื่อจะขึ้นอันดับหนึ่งให้ได้ แต่แหมข่าวก็เล่นแรงเกินไป ด้วยฝีมือระดับนี้แล้ว ถ้ามันซื้อได้จริงขนาดนั้น อี loverboy มันคงไม่ค้างแง่ก อยู่ที่สองจนเป็นตราบาปอยู่มาจนทุกนี้หรอกค่ะ ความสำเร็จของเพลงนี้คงไม่ต้องพูดเยอะ เอาเป็นว่า Billboard ขนานนามให้เพลงนี้เป็น Song of the decade ของยุค 2000s ไปโดยปริยาย#จบมะ สำหรับความสำเร็จในบ้านเรา ก็เอาเป็นว่าถึงกับมีการผลิตแผ่นซิงเกิล format ที่ไม่เหมือนที่ใดในโลก ผลิตออกมาในรูปแบบ pop-up single ในราคา 150 บาท อีกด้วย #สวยไปอีก
ท้ายที่สุด มารายห์ก็ยังสำทับความสำเร็จของเพลงนี้ไว้ในอัลบั้ม #1 to infinity อีกครั้งว่าปฎิเสธไม่ได้เลยที่เพลงนี้นำมาสู่สิ่งที่ดีให้กับเธออีกครั้ง ทั้งในแง่การงานและผลตอบรับที่ได้รับจากแฟนเพลงซึ่งประเมินค่ามิได้ และหากเปรียบชีวิตเป็นเหมือนหนังสักเรื่อง แน่นอนว่าเพลงนี้นับเป็นหนึ่งในเพลงประกอบของชีวิตเธออย่างขาดไม่ได้
---------------------------------------------------
We Belong Together
Obviously this song was an undeniable hit that reintroduced me to the world at a crucial time when I felt very vulnerable. I put all of my emotions into all of it. I love singing this song in concert and seeing the audience reaction as they sing along to the lyrics. It feels like we are singing the soundtrack to my life together, in unison, just me and my fans.
#1toinfinityth #WeBelongTogether#MariahCarey
Comments
Post a Comment