มธุรสดุริยางค์ ซึมซับความขมและหวานจากน้ำผึ้งเดือนเก้า..
ที่มาส่วนหนึ่งจากหนังสือ The Meaning of Mariah Carey. Part 3 Sing Sing. Chapter : Just Like Honey หน้า 207-210.
ในกระบวนการทำอัลบั้ม Butterfly นั้น มารายห์รู้สึกว่าต้องพัฒนากลบทในการเขียนเพลงให้ดูก้าวหน้าและเติบโตขึ้น วิธีการแต่งทำนองและการเล่าเรื่องจะต้องมีความแปลกใหม่ไปจากที่เคยเป็นมา โจทย์ที่ตั้งไว้จะเป็นเพลงที่มีชั้นเชิง มีระดับ และมีความซับซ้อนแต่เต็มเปี่ยมด้วยความสดใสเจิดสว่าง แสดงอัตลักษณ์ของมนุษย์ในความมีเสรีในการแสดงออกของตัวตน
มารายห์ติดต่อใช้บริการโปรดิวเซอร์มือฉมังที่ดังที่สุดในขณะนั้น ถึงสามคนด้วยกัน ตัวเพลงก็มีโครงสร้างจากเพลงในยุค 80 อีกถึงสองเพลง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มารายห์ทดลองทำอะไรที่ก้าวล้ำไปกว่าที่เคย เปิดมุมมองด้านใหม่ๆ ที่มีความไหลลื่น เซ็กซี่ และก๋ากั่นไปในขณะเดียวกัน จนออกมาเป็นเพลง Honey ที่มารายห์บรรยายว่าไม่ได้เจาะจงเขียนขึ้นเพื่อคนใดเป็นการเฉพาะ แต่เมื่อทอมมี่ฟังก็เกิดอาการหัวร้อน คิดเอาเองว่ามารายห์น่าจะเขียนถึงบางคนที่ได้ขโมยหัวใจมารายห์ไปครองแล้ว หรือจริงๆแล้วก็ตั้งใจพูดจากระทบกระเทียบถึง Derek Jeter แต่จริงๆ แล้วมารายห์เองมีมโนทัศน์และความรู้สึกที่ลุ่มลึกในสมองและกระบวนการคิดแต่งเพลงนี้ก่อนจะพบ Derek Jeter เสียอีกด้วยซ้ำ
สิ่งหนึ่งที่น่าเสียดายคือมารายห์ไม่ได้มีโอกาสได้ร่วมงานกันกับ Notorious B.I.G. ใน Remix version เนื่องจากคิวไม่ตรงกัน จึงได้มีโอกาสเพียงสนทนาในประสาคนดนตรี แลกเปลี่ยนทรรศนะกันเท่านั้น
ก่อนจะเปิดตัวเพลงนี้ จะต้องมีการระดมความเห็นด้วยการให้กรรมการจากฝ่ายต่างๆ เข้ามารับฟังในที่ประชุม เพื่อวางแนวกลยุทธ์ในการทำการตลาดด้วย ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว บุคลากรหัวเก่าหลายคนให้ความเห็นว่า เพลงนี้มันดูเฉพาะทาง ดูเจาะตลาดได้แคบเกินไป (too urban) ซึ่งนัยของความหมายก็คือเพลงนี้มันเป็นเพลงที่เหมาะกับคนผิวสีในทางตรงนั่นล่ะ (too black)
แต่ในท้ายที่สุด ก็เกินจะต้านการต่อรองจากมารายห์ที่ยังทำเงินให้ค่ายได้ในเวลานั้น มารายห์ได้รับงบเพื่อถ่ายทำเอ็มวีชุดนี้เป็นงบถึง 2 ล้านเหรียญ มารายห์บรรยายว่าเธอนำมุมมองด้านอารมณ์ขัน มีมและมุข หรือบริบทต่างๆที่มีการอ้างอิงมาจากตัวละครจากหนังหรือนักแสดงที่มารายห์ชอบมาใช้ อย่างเช่น มารายห์ชอบหนังเจมส์บอนด์ ก็นำบุคลิกของ Honey Ryder ในภาค Dr.No มาอ้างอิงในการทำชุด เป็นต้น โชคดีว่ามารายห์ได้ผู้กำกับ Paul Hunter ซึ่งเป็นคนผิวสีเหมือนกัน และเข้าใจงานที่มารายห์บรีฟให้ ทุกอย่างจึงไปได้สวยและราบรื่น ได้การกำกับภาพที่ร่วมสมัยและหรูหรามีสไตล์ มีการคิดและตีโจทย์มาดี โดยหลักใหญ่ใจความที่มารายห์จะนำเสนอคือการแสดงออกซึ่งอิสระจากการควบคุม แม้ว่าในภายในเราอาจจะยังเจ็บปวด ไม่สะดวกสบายดีนัก และยังระทมอยู่ก็ตาม แต่ก็เป็นราคาที่คุ้มค่าที่ควรจะจ่าย
อุปสรรคระหว่างการถ่ายทำที่น่าจะมีเพียงอย่างเดียวในกองครั้งนี้คือ ความน่ารำคาญของทอมมี่ที่มักจะโทร.เข้ามาสืบสถานการณ์จากผู้จัดการของมารายห์ในเวลานั้น แม้ว่าในทางพฤตินัยนี้มารายห์กับทอมมี่จะแยกกันอยู่แล้ว แต่ในทางพาณิชย์ มารายห์ยังเป็นศิลปินแม่เหล็กทำรายได้ให้ค่ายเพลงอยู่ ทอมมี่จะไม่ยอมให้มารายห์ไปเสวยความสุข และตนจะเสียหน้าไม่ได้ ยอมให้ไม่ได้ในฐานะผู้ชายที่จะต้องเป็นฝ่ายที่ถูกผู้หญิงขอแยกทาง ฉะนั้นการสืบความเคลื่อนไหวของมารายห์เพื่อเก็บข้อมูลไว้นี้มันจะช่วยทำให้เขารู้จุดอ่อนของมารายห์ และนำมาเอาคืนสักวัน...
ภายหลังจบการถ่ายทำ ภายหลังการแยกกันอยู่ ภายหลังความเจ็บปวด ภายหลังปัญหาต่างๆ นานา มารายห์ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะยื่นเรื่องขอหย่ากับทอมมี่ ด้วยการจ้างทนายเก่งๆ ซึ่งไม่ได้มีวงวารของทอมมี่เข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อยื่นต่อศาลเพื่อประกอบการพิพากษา กระบวนการทั้งหลายดำเนินไปอย่างฉับไว ทอมมี่ยอมเซ็นให้ และในที่สุดผีเสื้อก็ได้รับอิสรภาพ...
ณ ตอนนี้เธอได้ทะเบียนหย่ามาไว้ในครองแล้ว ความห้าวกีในขณะนี้คือพุ่งไปหา Derek ให้ไวที่สุด ไปดื่มด่ำรสสัมผัสของน้ำผึ้งให้เต็มปากเต็มคำ ดื่มทุกหยาดหยดอณูที่กลั่นจากความรัก ในบทสังวาสของคืนฝนพรำบนหลังคาอาคารอันเย็นฉ่ำ ...อันจะเป็นที่มาของเพลง The Roof ที่แสนจะเฟียสกี้ต่อไป...
Comments
Post a Comment