กะเทาะที่มา กว่าจะเป็นบทเพลง Fantasy



ครั้งหนึ่ง Lisa 'Left Eye' Lopes ผู้ล่วงลับ แห่งวง TLC ยกย่องว่ามารายห์เป็นผู้นำแนวดนตรีประเภทใหม่ที่หลอมรวมวัฒนธรรมเพลงป๊อบ และฮิปฮอปเข้าด้วยกัน แม้มารายห์จะไม่ใช่รายแรกที่เป็นผู้ทำก่อนใคร แต่มารายห์ทำให้เป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง และ Lisa ขนานนามให้เป็นดนตรีแนว 'Hip-Pop'

Kelly Rowland กล่าวว่า ตั้งแต่เด็กแล้ว เธอโตมากับเพลงของมารายห์ มารายห์เป็นหนึ่งในรักแท้ของเธอ เป็นไอดอลจากฝันที่เคยฝัน จนมาได้โอกาสให้ Tribute เพลง Fantasy ต่อหน้ามารายห์ในงาน BET Honours ในปี 2012
กระทั่งในปี 2019 เพลงนี้ก็กลับมาเป็นไวรัลบน Tik Tok อีกครั้ง ด้วยการที่มารายห์ลงคลิปเต้นท่วงท่าน่ารักวัยรุ่น จนมียอดชมถึง 31.4 ล้านครั้ง และนำไปใช้ในคลิปอื่นบนแพลตฟอร์ม Tik Tok อีกกว่า 4.5 แสนครั้ง
ในวารดิถีปี 2021 Fantasy ได้นำมาใช้ประกอบภาพยนตร์ Free Guy ที่มี Ryan Reynolds ซึ่งเป็นทั้ง lambily และเพื่อนที่มารายห์รู้จัก ร่วมสร้างและแสดงนำ จนจุดกระแสไวรัลขึ้นมาอีก ร้อนถึงมารายห์ต้องปรับคุณภาพความละเอียดของวีดิโอบน YouTube ให้คมชัดขึ้นไปอีก นัยว่ารองรับยอดชมที่จะมาจากกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นแสนซน ให้เห็นว่าฉันยังสาวยังสวยเหนืออสงไขยเวลา
ในการที่เพลง Fantasy มีอายุจะครบ 26 ปี แล้วนั้น ต่อไปนี้จะเป็นอรรถบทส่วนหนึ่งจากหนังสือ The Meaning of Mariah Carey. Chapter 2 Sing. Sing. ; Part: Fantasy, หน้า 160-166. ที่จะขอยกบางส่วนบางตอนที่มารายห์ยกให้เป็นเรื่องหลักมาเล่าให้ฟังกัน
...
เมื่อปี 1995 ภายใต้ความเข้มงวดและรัดกุมจากทอมมี่ผู้ที่เป็นทั้งสามีและผู้บริหารค่ายเพลงโซนี่มิวสิค ทำให้แนวทางดนตรีและภาพลักษณ์ที่ทอมมี่ต้องการวางไว้ให้มารายห์ ก็จะเป็นแนวทางที่เขาถนัดมือคือแนวดนตรีกระแสหลักสำหรับผู้ใหญ่ (Adult contemporary) รวมถึงแจ๊ซและกอสเปล ซึ่งมารายห์เองก็ยอมรับนับถือทอมมี่ในมุมของนักดนตรีที่มีความรู้ในเรื่องการแต่งเพลง ภาคการผลิต และโครงสร้างของดนตรีเช่นกัน
แต่ในขณะเดียวกัน มารายห์เองที่ถึงแม้จะสามารถเขียนแนวเพลงใดๆ ก็ตามได้ไม่ว่าจะเป็นป๊อป บรอดเวย์ หรือพังก์ร็อค ถ้ามารายห์คิดอยากจะทำ มารายห์สามารถแต่งเพลง genre พวกนี้ออกมาได้หมด แต่เพลงดนตรีที่เป็นรากฐานของเธอ ดนตรีที่กำลังอยู่ในกระแสสมัยใหม่ ความมีชีวิตชีวา มีสีสันและรสชาติความเป็นคนของดนตรีแนวฮิปฮอปคือสิ่งที่มารายห์ยึดถือและมีอุดมการณ์ที่แน่วแน่ที่ต้องการจะทำมานานแล้ว ซึ่งสวนทางกับทรรศนะของทอมมี่ที่คิดว่าดนตรีประเภทนี้ดูไม่เก๋สำหรับเขาเสียเท่าไร และนี่เป็นปรากฎการณ์ที่มารายห์คิดจะกบฏต่อสิ่งที่ทอมมี่จะวางทิศทางการทำเพลงฮิตไว้ให้ ด้วยการยืนยันว่าจะเลือกโปรดิวเซอร์ ศิลปินที่จะร่วมงาน และการคุมภาพรวมของงานเพลงเอง จนทอมมี่ต้องระอาและเลิกทัดทานมารายห์ในที่สุด
ดนตรีฮิปฮอปเป็นดนตรีที่มารายห์มองว่าเปี่ยมล้นด้วยพลังแห่งความเยาว์วัย และเล็งเห็นว่า Puff Daddy เป็นคำตอบที่เหมาะสมที่จะมาช่วยปรุงแต่ง Fantasy (Album version) ที่ภาพรวมมีความเป็นป๊อป โดย Remix จะเป็นการใช้ Element ที่เด่นที่สุดในจังหวะของบีทเพลง Genius of love ที่เป็นฐานของเพลงนี้ แล้วรื้อโครงสร้างเดิมออกให้เหลือแต่แก่นความดิบ และ Puff เองก็ตอบสนองและกระตือรือล้นในความคิดของมารายห์ในการเชิญ Ol' Dirty Bastard (O.D.B.) แห่ง Wu-Tang Clan มาร่วมงานด้วย
ถึงแม้ทอมมี่และผู้ใหญ่หัวเก่าหลายคนในสังกัดจะต่อต้านความคิดในการเชิญ O.D.B. มาร่วมงาน เนื่องจากไม่เห็นดีเห็นงามด้วย และยังไม่เห็นว่า O.D.B. จะมาสามารถเอื้อประโยชน์ใดบางให้ต่อเพลง แต่โชคดียังมีแผนกผู้ดูแลศิลปินที่เป็นหัวสมัยใหม่ เข้าใจในสิ่งที่มารายห์ต้องการ จึงเป็นธุระติดต่อให้มารายห์ได้ร่วมงานได้ในที่สุด
การบันทึกเสียงแรปของ O.D.B. เกิดขึ้นในช่วงเย็นวันหนึ่ง โดยที่จำเป็นต้องแยกอัด เนื่องจากทอมมี่ต้องมารับมารายห์กลับคฤหาสน์ [และไม่อนุญาตให้อยู่ในสตูดิโอด้วยกังวลเรื่องความปลอดภัย เพราะเขามองว่า O.D.B. มีความกักขฬะ ; ส่วนนี้ไม่ได้มีพูดถึงในหนังสือ] แล้วเมื่อมารายห์เตรียมตัวที่จะพักผ่อนและทำหน้าที่ภรรยา ก็มีสายเรียกเข้าจากทีมงานแจ้งมาว่า O.D.B. อัด Verse เสร็จแล้ว มารายห์จึงเปิดลำโพงโทรศัพท์ให้ทอมมี่ฟังด้วย โดยเป็นท่อนเริ่มของ Yo, New York in the house ไปจนถึงวรรคทองของ "Me and Mariah go back like babies and pacifiers" ซึ่งมีความ iconic เหนือกาลเวลา (และ Rapper รุ่นหลังก็นำ verse นี้มาสดุดีในเพลงของมารายห์ในช่วงหลังอีกหลายเพลง เช่น Obsessed Remix feat. Gucci Mane และเพลง You don't know what to do feat. Wale)
ขณะที่ทอมมี่งุนงงและช็อคกับสิ่งที่ตนได้ฟัง ไม่อิน ไม่เข้าใจในความเปรี้ยวดังกล่าว ซึ่งสวนทางกับปฎิกิริยาของมารายห์ที่กรีดร้อง ดีใจอย่างบ้าคลั่งนั้น ทอมมี่สวนขึ้นมาว่า นั่นมันบ้าอะไรกันเนี่ย ผมก็ทำได้ กับอีแค่การสบถคำแบบไม่มีที่มาที่ไปแบบนั้น มารายห์เองเปรียบสถานการณ์ขณะนี้ว่าเหมือนถูกยาน Enterprise (จากหนัง Star Trek) ยิงไปอีกพิภพจักรวาลอื่น ดนตรีและเสียงเพลงซึ่งเคยเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อกันระหว่างมารายห์และทอมมี่ บัดนี้ได้ถูกทำให้แยกจากกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
Fantasy Remix ในช่วงเวลานั้น มารายห์ระบุว่าเป็นเพลงที่เธอมักจะเปิดซ้ำไปซ้ำมา ไม่ว่าจะเป็นขณะนั่งรถกลับบ้าน (จนทอมมี่ลึกๆ แล้วได้ฟังบ่อยครั้งเข้าก็เกิดชอบขึ้นมาบ้างแล้ว) เหมาะกับการเปิดในเทศกาลและวาระสนุกสนานต่างๆ ซึ่งมารายห์ให้ความดีความชอบกับ Puff Daddy และ O.D.B. ที่ช่วยจรุง remix นี้ให้เกิดความอัศจรรย์ได้สมกับชื่อเพลง เข้าถึงได้ง่ายในทุกระดับชั้น เทียบได้กับงานของคู่พี่น้อง Donnie & Marie Osmond ในเพลง "A little bit Country, A little bit Rock'n' Roll" (เพลงดังในยุค 70's)
ในภาคการผลิต MV นั้น ที่ผ่านมามารายห์คิดว่ายังไม่ตอบโจทย์ในมุมมองของตัวเองเท่าไรนักจากการไม่ได้รับการอนุญาตให้ร่วมงานกับผู้กำกับที่มารายห์ชื่นชอบ อาทิ Herb Ritts (กำกับ In the closet, Love will never do without you, Cherish) หรือกับสไตลิสต์ดังๆ ที่จะช่วยดึงความคมชัดจากมุมอื่นๆ ของตัวเธอ เพราะกลุ่มบุคคลเหล่านี้เป็นกลุ่มที่ทอมมี่ไม่อาจควบคุมได้เต็มที่ ทำให้ภาพลักษณ์ของมารายห์ก่อนหน้านี้ดูคล้ายๆ กันไป ไม่ค่อยโฉบเฉี่ยวเท่าใด สำหรับ Fantasy เมื่อยังหาผู้กำกับที่จะช่วยฉายคอนเซปท์ความสนุกสนาน อิสระ ปลดปล่อย ไม่ได้แล้วนั้น มารายห์จึงเลือกที่จะกำกับด้วยตัวเอง โดยยกกองไปถ่ายทำกันที่สวนสนุก Playland Park ในนิวยอร์ก สำหรับการถ่ายทำ Pop version มากับความสนุกง่ายๆ ที่หยิบจับโรลเลอร์เบรดมาเล่นกัน นุ่งกางเกงขาสั้น สวมเสื้อสีแสบๆ และกลุ่มก๊วนนักเต้นบีบอยจากวัฒนธรรมฮิปฮอป และในภาคของ Remix version นี้ จะเป็นครั้งแรกที่มารายห์ได้พบกับ O.D.B. ต่อหน้า มารายห์บรีฟคอนเซปท์ง่ายๆ ให้กับ O.D.B. โดยบอกให้เป็นตัวเองที่สุด โดย O.D.B. ขอใช้แค่วิกมาใส่เป็นพร็อพให้ดูคล้าย Al Green (ศิลปินในยุค 60's) แล้วก็ใช้แค่เสื้อฮู้ดที่ชาวแรปนิยมใส่ ออกมาเป็นลุคเหมือนคนเมา กับอีกซีนที่เปลือยอกใส่วิกผม ก็เป็นอีกซีนที่เป็นภาพจำมาก ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะไปสู่สัมปรายภพแล้ว แต่ O.D.B. ก็ได้มอบความสนุก ความอัศจรรย์ให้กับเพลงและวีดิโอมาจนถึงปัจจุบัน
ด้วยความสำเร็จของอัลบั้ม Daydream ทำให้มารายห์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงจากเวทีต่างๆ หนึ่งในนั้นคือ American Music Awards ที่มารายห์ได้แสดงสดเพลง Fantasy ใส่เสื้อโค้ตหนัง กางเกงหนัง คอเต่าสีดำ ที่มารายห์นิยามว่ามันคือสไตล์แบบ Militant Mariah ที่ทอมมี่ชอบ เพราะไม่ต้องเผยส่วนสัดใดๆ ให้เห็นนอกจากใบหน้า
ในคืนนั้นนอกจากมารายห์จะได้รับรางวัล Best Female Pop และ Best Female R&B Artist มารายห์เล่าว่ายังมีเรื่องที่น่าจดจำมากกว่านั้น นั่นคือ การได้พบกันเป็นครั้งแรกกับศิลปินฮิปฮอปที่เธอชื่นชอบ คือ Tupac ที่เป็นฝ่ายทักเธอก่อนจากการพบกันโดยบังเอิญ และพกความปลาบปลื้มกลับบ้านไปด้วยหัวใจอันพองฟู มิอาจลืมสายตาที่ส่งมา เหมือนในเพลง All eyesz on me ของ Tupac (มีการนำ reference นี้ไปใช้อีกครั้งในเพลง I'm that chick ด้วย)
นอกจากนี้มารายห์ยังเล่าถึงบรรยากาศภาพรวมของการบันทึกเสียงอัลบั้ม Daydream ในบทนี้ และนำมาซึ่งผลงานลับในนาม Chick ซึ่งจะนำมาสรุปในโอกาสอันเหมาะสมต่อไป

Comments

Popular posts from this blog

"มารายห์" กล่าวถึง "มาดอนน่า"

รีวิว อัลบั้ม CAUTION โดยคุณ ภูมิ โสภา

ครั้งแรกของ โรเบิร์ต เดอ นีโร กับการร่วมงานกับผู้กำกับ แนนซี เมเยอร์ส ในหนังคอมเมดี้ The Intern