ที่มาของเพลง The Roof

 


เล่าเหตุการณ์หลังจากคืนบาปที่หลังคาซ่อนชู้


ด้วยในโอกาสเพลง The Roof มีอายุครบ 24 ปีเป็นโอกาสดีที่จะขอเล่าถึงอรรถบทบางช่วงบางตอนจากหนังสือ The Meaning of Mariah Carey บท Just Like Honey หน้า 203-204. ซึ่งเป็นเหตุการณ์ต่อจาก บท Shook Ones ซึ่งเล่าถึงที่มาที่ไปของการได้พบกันในคืนบนหลังคาดาดฟ้าระหว่าง Derek Jeter นั้น โดยมารายห์เล่าต่อว่าที่มาของเพลง The Roof ทั้งเนื้อหาเพลงและเรื่องราวในวีดิโอนั้นถูกกลั่นออกมาจากความรู้สึกภายในที่มาจากประสบการณ์จริงของเธอเองที่ไม่เคยประสพพบมาก่อน แม้ว่ามันอาจจะฟังดูวาบหวามไปบ้าง แต่ก็เป็นสิ่งที่เย้ายวนเธอให้ลุ่มหลงและถูกตกวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำอีก

มารายห์รับว่าเธอมิอาจลืมภาพจำและรสสังวาสในคืนนั้นบนหลังคาดาดฟ้าระหว่างเธอกับชายชู้ Derek Jeter ชายหนุ่มผู้ทำให้โลกของเธอเปลี่ยนไป และต่อจากนี้เพลงรักทุกเพลงจะเป็นของเธอเท่านั้น (ขณะนั้นมารายห์แยกกันอยู่กับทอมมี่แล้วและอยู่ในกระบวนการหย่าร้างทางกฎหมาย) 

ในกระบวนการถ่ายทำมิวสิกวิดีโอ มารายห์พยายามดึงความรู้สึกของสัมผัสแห่งรักในคืนนั้น ทุกรายละเอียดของเสียงกระซิบอันปลุกเร้าความเสน่หาและมายาภาพสุดสวาทในคืนบนดาดฟ้ามืด มารายห์ต้องการให้ภาพมีความเรียลและยวนเย้าที่สุด โดยใช้บรรยากาศความย้อนยุคช่วง80 มาใช้ในยุคปลาย90 ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติเท่าไรในเทรนด์ของยุคนั้นที่กำลังเดินเข้าสู่ยุคมิลเลนเนียม ทีมสไตลิสต์จัดชุดแจ๊คเกตของอดิดาส  และกางเกงยีนส์จากแบรนด์ Sergio Valente เสริมแต่งด้วยการยีผมทรงฟาร่า ฟอเซตต์ ให้มารายห์ในบทบาทหญิงซึ่งพร้อมให้บริการในอาชีพที่ฉันรัก

มารายห์กล่าวว่าเป็นวีดิโอที่นางคิดว่าเกร๋คือทำออกมาตอบโจทย์ทั้งในแง่ของเมนสตรีมและฝั่งฮิปฮอปด้วย เพราะได้เชิญ Mobb Deep เจ้าของเพลง sample มาร่วมแรปและเข้าซีนพร้อมกับกลุ่มนักเต้นเบรกแดนซ์

มารายห์เล่าว่าระหว่างช่วงที่แยกกันอยู่ นางต้องไปหาเช่าโรงแรมอยู่ชั่วคราว เพื่อที่จะใช้เวลาทบทวนความคิดและวางโปรแกรมต่างๆสำหรับตัวเอง เช่น เทคคลาสการแสดง เสริมสวย หรืออัดเพลงในแบบที่ตัวเองต้องการได้โดยไม่มีเงาของทอมมี่มาควบคุม 

มารายห์มิอาจลืมรสสัมผัสแห่งความรัญจวนบนดาดฟ้ายามค่ำคืนนั้นได้ จนเธอสืบรู้ว่า Derek กำลังจะเดินทางไปเปอร์โตริโก้ นางจึงให้ผู้ช่วยส่วนตัวช่วยจัดการเป็นธุระเพื่อจะบินไปเจอ Derek อย่างแทบจะอดใจไม่ไหว เป็นทริปลวงโลกลับๆที่มีคนรู้อยู่ไม่กี่คน มารายห์จองรีสอร์ทแห่งหนึ่งชื่อ El Conquistador ไว้ ซึ่งตกแต่งในบรรยากาศแบบคาริเบี้ยน และตกกลางคืนก็ไปคลับชื่อ Egypto ไม่ไกลจากโรงแรมมากนัก ซึ่งเธอมีเซนส์ว่า Derek จะต้องไปเที่ยวที่นั่นเป็นแน่ แล้วยังวางแผนสองกับผู้ช่วยเปิดห้องที่โรงแรม El San Juan ใกล้ๆกันนั้นไว้ด้วย และในที่สุดฟ้าก็เป็นใจให้หญิงร้อนและหนุ่มฮอทมาพบกันที่บาร์ห้าวแห่งนี้ราวกับจับวาง และเดินลัดเลาะละเลียบไปตามทาง รับลมเย็นๆกับคนที่เราคิดถึง เพื่อไปหาที่คุยกันต่อกันที่ห้องที่เตรียมไว้ในที่สุด (อีนี่มันร้าย)

มารายห์เล่าว่าทั้งเธอและทั้งเขาต่างตระกองกอดกันใต้เสียงหายใจของลมแห่งทะเลแถบแคริบเบี้ยน พยุหะแห่งจุมพิตกระหวัดเกี่ยวพันกันอย่างโหยหา เป็นช่วงเวลาที่ถึงมรรคาแห่งสวรรค์ที่สุขสมที่สุดเท่าที่มารายห์เคยสัมผัส -- หากแต่ปราศจากการโล้สำเภากันกลางท้องทะเล...

แม้จะมีใครก็ตามเห็นว่าทั้งสองจะแอบลักลอบนัดพบกัน แต่ก็ช่างประไรเพราะมารายห์ไม่สนแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ชีวิตและความรู้สึกใดๆ เธอต้องเป็นผู้กำหนดเอง ความปรารถนาเป็นแรงขับเคลื่อนให้เธอเดินต่อ และความถวิลหาของอรรถรสในคืนนั้นจึงกลายมาเป็นที่มาของบทเพลง My all ในเวลาต่อมา...

#MariahCarey #TheRoof #BackInTime


Comments

Popular posts from this blog

"มารายห์" กล่าวถึง "มาดอนน่า"

รีวิว อัลบั้ม CAUTION โดยคุณ ภูมิ โสภา

คาดการณ์ Set List คอนเสิร์ต Mariah Carey Live In Concert ที่ไทย